คุกหลวง, แอสการ์ด
ดวงตาสีเขียวมรกตสะท้อนแสงเรื่อเรืองที่ส่องลอดผ่านช่องแสงเล็กๆ ที่ถูกเจาะเอาไว้สูงขึ้นไปเหนือศีรษะ เบื้องล่างคือสถานที่จองจำอันหนาแน่นของแอสการ์ด ที่ไม่ว่าผู้ใด หากไม่ได้รับอนุญาต จะถูกเดสทรอยเยอร์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกทำลายทิ้งทันที
ในความเงียบสงัดราวกับประสาทการได้ยินถูกทำลาย หูของเขากลับได้ยินเสียงบางอย่าง สะท้อนก้องมาจากที่ไกลแสนไกล บางครั้งก็ราวกับสะท้อนอยู่ใกล้หู
โลกิน้องข้า.....
ดวงตาสีเขียวมรกตหลับพริ้มลง ปิดกั้นแสงสว่างจากภายนอก ในความมืดมิดของห้วงจิต ภาพของใครคนหนึ่งสะท้อนอยู่ในมโนสำนึก
เรือนผมสีทองอร่าม ผ้าคลุมสีแดงสดที่พลิ้วไหวอยู่บนแผ่นหลังกว้าง ดวงหน้าที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่เคยเบือนกลับมาด้านหลังสักครั้ง
ถึงอย่างนั้น ดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายสุกใส กลับแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำไม่จางคลาย
ธอร์....
เสียงเรียกดังก้องอยู่ในห้วงความคิด แต่ไม่อาจเล็ดลอดผ่านริมฝีปากบางเฉียบที่ปิดสนิท หัวใจเต้นอึงราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ตลอดร่างกลับชาด้านราวแท่งน้ำแข็ง
ธอร์........
เสียงฝีเท้าที่ดังแว่วมากระตุกความคิดของร่างที่เอนตัวพิงผนังอยู่ ดวงตาสีเขียวมรกตลืมโพล่งขึ้น จากนั้นไม่กี่อึดใจ ลำแสงจ้าก็สาดเข้ามาจนต้องหลับตาลงอีกครา
“โลกิ”
น้ำเสียงทุ้มหนัก แสดงถึงความทรงพลังและแฝงไปด้วยความห่วงใยดังขึ้นในความเงียบ เสียงฝีเท้าหนักอึ้งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กระนั้นเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตยังคงหลับตาสนิท ราวกับว่าแสงที่ส่องลอดเข้ามาเมื่อครู่ได้ทำลายการมองเห็นของเขาไปเสียสิ้นแล้ว
“หลับอยู่หรือ?” เสียงเดิมกล่าว จากนั้นปลายนิ้วหนาหนักก็แตะลงบนหน้าผาก ดวงตาสีมรกตลืมโพล่งขึ้นทันที ก่อนจะยื่นมือคว้าจับเอาไว้
“เจ้าตื่นอยู่จริงๆ ด้วย”
พอลืมตาขึ้นมา นอกจากแสงสว่างจากภายนอกที่ส่องผ่านประตูซึ่งถูกเปิดออกแล้ว เค้าหน้าคมคาย เรือนผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าใสก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า คนนอนอยู่พลันเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง
“มาทำไม”
ฝ่ายนั้นไม่ตอบคำถามในทันที กลับคว้ามือที่จับเอาไว้มากุม แล้วถอนใจเฮือก “ข้ามาเยี่ยมเจ้า”
ร่างผอมดึงมือหนี แต่ไม่เป็นผล ดังนั้นจึงเบือนหน้ากลับมาอีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาเยี่ยม”
“ทำไมล่ะ?” ผู้เป็นเจ้าของร่างสูงใหญ่ตอบ ก่อนจะถือวิสาสะทรุดตัวลงนั่งบนเตียง แทบจะเบียดเอาคนนอนอยู่ก่อนบี้ติดผนัง กระทั่งร่างผอมทนไม่ไหว ต้องยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“ข้าเป็นนักโทษ เป็นผู้ถูกจองจำ มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างเจ้าจะต้องมาเยี่ยม”
“แต่เจ้าเป็นน้องชายข้า” คนถูกตามตอบพลางยิ้มละไม “ข้าจะมาเยี่ยมน้องชายตัวเอง ไม่ได้หรือไร?”
“ข้าไม่ใช่น้องชายเจ้า!” ร่างผอมกระชากเสียง “โอดินยังไม่เล่าให้เจ้าฟังอีกหรือ ว่าข้าเป็นใคร?”
“ไม่เอาน่า โลกิ ท่านพ่อเองก็ถือว่าเจ้าเป็นลูกชายคนหนึ่ง เราเล่นกันมาแต่เล็ก เจ้าเรียกข้าว่าพี่ ข้าเรียกเจ้าว่าน้อง จำไม่ได้หรือไร?”
“คนอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร” ร่างผอมเค้นเสียง พยายามกระชากมือออกอีกครั้ง
“ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ โอดินมองแต่เจ้า ไม่ว่าจะทำอะไร เขามักมองเจ้าก่อนเสมอ ทุกครั้งเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน สายตาของเขาจะจับจ้องไปทางเจ้า ทุกอย่างที่เขามี เขามอบให้เจ้า ข้าก็แค่.....”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นบาง ก่อนจะโพล่งออกมา “ไปซะ ไม่ต้องมายุ่งกับข้าอีก”
คนถูกไล่ออกแรงกุมมือแน่นขึ้นอีก พลางขยับเข้ามาใกล้ “เจ้าแค้นท่านพ่อ?”
ร่างผอมขบกรามกรอด ผลักมือใส่อีกฝ่ายเต็มแรง แต่ก็หาทำให้ร่างสูงใหญ่นั้นสะดุ้งสะเทือนไม่
“ข้าเกลียดพวกเจ้าทุกคน พวกเจ้าหลอกข้ามาตลอด ให้ความรักจอมปลอมกับข้า หลอกให้ข้าฝัน รักเท่ากันงั้นหรือ? มีสิทธิ์ในบัลลังก์แอสการ์ดเหมือนกันงั้นหรือ? ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายเขาก็ตั้งใจยกมันให้กับเจ้า ไม่ว่าข้าจะพยายามขนาดไหน สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นของเจ้าอยู่ดี ข้าล่ะ? ข้าล่ะเป็นตัวอะไร? ข้าควรอยู่ในฐานะไหนกันแน่!!”
“โลกิ!” อีกฝ่ายเรียกชื่อเขา ขณะที่ร่างผอมแผดเสียงหัวเราะลั่น
“ว่าไงล่ะ บุตรแห่งโอดิน เจ้าตอบข้ามาสิ ข้าควรอยู่ในฐานะไหน เป็นตัวอะไรกันแน่!”
คนถูกถามได้แต่อ้าปากค้าง เนิ่นนานจึงมีคำพูดหลุดออกมา “เจ้าเป็นน้องชายข้า.....”
!!
ร่างผอมกัดฟันกรอด ก่อนจะโขกศีรษะใส่อีกฝ่ายเต็มแรง “ข้าไม่ใช่น้องชายเจ้า!”
“โลกิ!!”
“ไปซะ ข้าไม่ต้องการพูดกับเจ้า ไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีก!!”
มือที่จับอยู่ค่อยๆ คลายออก พร้อมกับดวงตาสีฟ้าสั่นระริกที่ขยับห่างออกไป
------------------------------------------
ธอร์......
วินาทีที่มือข้างนั้นหลุดออกจากการเกาะกุม ร่างผอมบางร่วงหล่นลงสู่ความเวิ้งว้างเบื้องล่าง ที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีมรกตคือภาพสีหน้าของชายผู้มีเรือนผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าใส
ชายที่เขาเฝ้าไล่ตามมาเนิ่นนาน
ธอร์.........
ในความมืดมิดราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง ภาพที่สะท้อนอยู่ในห้วงมโนสำนึกยังคงเป็นแผ่นหลังกว้างพร้อมผ้าคลุมสีแดงของผู้ชายคนนั้น
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ตอนไหน แม้ในเวลาเลวร้ายที่สุด เขาก็ไม่อาจสลัดภาพแผ่นหลังนั้นได้เลย
แผ่นหลังของคนที่ไม่เคยเหลียวกลับมามองเขาเลยสักครั้ง
ธอร์.....
--------------------------------------------------
คิ้วคู่บางขมวดมุ่น ยามเมื่อแสงจากภายนอกส่องลอดเข้ามาในห้องขัง ชายหนุ่มพลิกตัวหนีไปอีกทาง ขณะที่เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ แต่ครั้งนี้นอกจากเสียงฝีเท้า ยังมีเสียงอย่างอื่นพ่วงเข้ามาด้วย
!!!
ร่างผอมบางทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นมา ก่อนจะหันมาตวาดใส่คนที่นั่งอยู่ข้างเตียง “ทำบ้าอะไรน่ะ?!”
คนถูกตวาดยักไหล่ ในมือถือแก้วทองคำใบหนึ่งอยู่ “ไวน์น่ะ อยากให้เจ้าลองดื่ม เลยหยิบเข้ามาด้วย”
ดวงตาสีมรกตถลึงมองคนตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นกันมาก่อน จากนั้นก็ยกมือขึ้นปาดของเหลวสีแดงบนใบหน้า “เจ้าราดไวน์ใส่ข้า!”
“อย่าโมโหน่า ก็เจ้าไม่ยอมลุกขึ้นมานี่นา จะเรียกก็กลัวเจ้าไม่พูดด้วย” อีกฝ่ายพูดอย่างอารมณ์ดี ขณะที่คนฟังตีหน้าถมึงทึง ขบกรามกรอดๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พอเห็นดังนั้น ร่างสูงใหญ่ก็วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะใกล้ตัว ก่อนจะยื่นมือไปหาอีกฝ่าย
“สภาพแบบนี้เจ้าคงต้องเปลี่ยนเสื้อ มาให้ข้าเปลี่ยนให้เถอะ”
“.........”
“ไม่เอาน่าโลกิ เจ้าโดนยึดพลังไปแล้ว อย่าว่าแต่เปลี่ยนไวน์ให้เป็นงูเลย ลำพังจัดการเสื้อผ้าแค่นี้ยังลำบากเลยใช่ไหมล่ะ? มาให้ข้าจัดการให้เถอะ”
“หึ!” ร่างผอมแค่นเสียง แต่ยังไม่ยอมให้อีกฝ่ายแตะต้องเสื้อผ้า “เจ้าจะเอาเสื้อผ้าแบบไหนมาเปลี่ยนให้ข้าน่ะ?”
“ไม่รู้สิ เจ้าถอดมาก่อนแล้วกัน” ไม่พูดเปล่า ยื่นมือมาถอดจริงๆ ร่างผอมดิ้นหนีเป็นพัลวัน แต่เพราะไม่เหลือพลังวิเศษอีกแล้ว และถึงมี ก็ไม่เคยพ้นมือชายคนนี้สักที ไม่นานนักเสื้อผ้าก็ถูกถอดออกไปได้สำเร็จ
“โลกิ เจ้าตัวเล็กนะ” ร่างสูงใหญ่กล่าว ขณะมองดูร่างผอมเปลือยที่นั่งอยู่บนเตียง คนถูกทักเบือนหน้าไปทางอื่น “ใครมันจะไปตัวใหญ่เหมือนเจ้าล่ะ”
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจ “เจ้าตัวเล็กแบบนี้ ยังจะทำซ่าไปดวลกับเขาตัวต่อตัวอีก ข้าชอบเวลาที่เจ้าถือคทา แล้วเสกนั่นเสกนี่มากกว่า”
“เหอะ...”
“หนาวมั้ย?”
“..........”
“มาอยู่ใกล้ๆ ข้านะ จะได้ไม่หนาว”
“....................”
“โลกิ... เจ็บมากมั้ย? ที่โลกมนุษย์น่ะ”
“................................”
“พูดกับข้าหน่อยไม่ได้หรือ?”
“.............................................”
“ไม่งั้นข้าจะเอาไวน์ราดใส่เจ้าอีกรอบหนึ่งนะ”
คราวนี้ร่างผอมจำต้องหันมาเอ่ยปากขึ้นเสียที “เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ธอร์”
อีกฝ่ายคลี่ยิ้มละไม “คุยกับเจ้า แบบที่เราเคยคุยกันเหมือนเมื่อก่อน”
“เหอะ.........”
“โลกิ จำได้ไหม เจ้าเคยเสกรองเท้าข้าให้กลายเป็นงูด้วย ทำข้าสะดุดเกือบตายแน่ะ”
“หึ....”
“ยังมีเรื่องที่เจ้าเอางูไปใส่ไว้ในที่นอนข้าอีก ท่าทางเจ้าจะไม่ชอบขี้หน้าข้ามานานแล้วนะ”
“เพิ่งรู้ตัวหรือไง?”
“อืม.... ข้าเคยเข้าใจว่าเจ้าชอบข้ามาตลอด แต่เพราะข้าไม่ค่อยจะสนใจเจ้า เจ้าเลยต้องทำอะไรแบบนั้น”
“..................”
“โลกิ... เจ้าเคยชอบข้าบ้างมั้ย?”
ร่างบางขยับหนีไปอีกทาง “ถามทำไมน่ะ?”
“อยากรู้น่ะ” อีกฝ่ายตอบ “อยากรู้ใจจริงของเจ้า ครั้งหนึ่งเจ้าเคยบอกว่ารักข้า แม้ริษยาอยู่บ้าง แต่เจ้าก็รักข้า ข้าอยากรู้ คำพูดนั้นมีความจริงจากใจเจ้าอยู่บ้างหรือไม่?”
คนถูกถามระบายลมหายใจออกมา “ข้าเกลียดเจ้า ไม่เคยนึกชอบเจ้าเลยสักครั้ง”
“งั้นหรือ” ร่างสูงครางในคอ “อย่างนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่ไปไหนด้วยกัน เจ้าฝืนใจตัวเองทุกครั้ง?”
“อืม...”
“แล้วตอนนี้ล่ะ ฝืนใจรึเปล่า?”
“...................”
“โลกิ....”
คนถูกเรียกขยับตัวหนี พลางผลักอีกฝ่ายออก “ไปได้แล้วล่ะ ข้าไม่เหลืออะไรจะพูดกับเจ้าแล้ว”
“แต่ข้ามี” ร่างสูงใหญ่กล่าว แล้วยื่นมือมาจับใบหน้าขาวซีดไว้ “จูบได้มั้ย?”
“!?” ร่างผอมเสือกไสอีกฝ่ายออกทันที “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!”
คนถูกด่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เจ้าเคยพูดเองนะโลกิ จูบน่ะ”
ดวงตาสีมรกตถลึงใส่อีกฝ่าย “เรื่องงี่เง่าพรรค์นั้น เจ้ายังจำได้อีกนะ”
“ข้าจำได้ทุกอย่างนั่นล่ะ” คนตัวใหญ่กว่าตอบยิ้มๆ “เจ้าล่ะ จำอะไรได้บ้าง?”
“..............”
“จำที่เราเคยเล่นกัน เคยไปเที่ยวด้วยกันได้มั้ย?”
ร่างผอมแค่นเสียง “ข้าจำได้แต่ความมืดมิด”
“โลกิ” ร่างสูงเรียกชื่อน้องชาย ก่อนจะรั้งร่างนั้นเข้ามาใกล้อีก สัมผัสได้ถึงไอเย็นจากตัวของอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหลังจากตกลงไปแล้ว?”
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้าใจได้หรอก” ร่างผอมตอบ พลางยกมือที่โอบไหล่อยู่ออก “กลับไปซะเถอะ”
“.....................” ร่างสูงใหญ่ยังคงนั่งเฉย ออกแรงผลักเท่าไหร่ก็ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือน ท้ายที่สุดร่างผอมกว่าจำต้องขยับตัว ลุกออกมาเอง
“จะไปไหนน่ะ” ผู้เป็นพี่ชายกล่าว ก่อนจะดึงตัวของอีกฝ่ายกลับลงมาบนเตียง คนเป็นน้องดิ้นขลุกขลัก ยกมือปัดป่ายด้วยความไม่เต็มใจ
“ทำไมเจ้าไม่หยุดยุ่งกับข้าเสียที ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบๆ บ้าง!”
คนถูกพูดใส่เม้มปาก สักพักจึงมีคำพูดหลุดออกมา “ข้าอยากรู้ใจจริงของเจ้า โลกิ อะไรคือความจริงในใจของเจ้ากันแน่?”
ร่างผอมแค่นยิ้ม “ใจข้ามีเพียงความลวง เรื่องนี้เจ้าสมควรจะเข้าใจดีที่สุด”
“โลกิ” ร่างสูงกว่าเรียกเสียงหนัก พร้อมกับมือแข็งแรงที่ขยับมาจับใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ “มองข้าสิ แล้วบอกมาว่าเจ้าเห็นอะไร”
“เจ้างั่งคนหนึ่งที่โดนข้าหลอกอยู่ตลอดเวลา” คนถูกถามตอบ คนได้ฟังเม้มริมฝีปาก “งั้นหรือ... แล้วรู้ไหม ข้าเห็นอะไร?”
“?”
มือแกร่งขยับมาลูบไล้ใบหน้า และเรือนผมสีดำสนิทของอีกฝ่าย “ข้าเห็นเจ้า เห็นดวงตาสีมรกต เห็นใบหน้าซีดๆ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เจ้าเคยมีให้ข้า ยามทอดตามองไปยังเวิ้งอวกาศด้านนอก ข้าคิดถึงเจ้าทุกครั้ง คิดถึงวันเวลาที่เคยมีเจ้าอยู่ข้าง คิดถึงช่วงเวลาดีๆ ของเราสองคน”
ริมฝีปากบางปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าเคยเห็นข้าอยู่ในสายตาด้วยหรือ? เจ้าเคยรู้สึกด้วยหรือว่ามีข้าอยู่ข้างๆ ?”
“โลกิ...”
“หยุดคำโกหกของเจ้าเถอะธอร์ ข้าเหนื่อยเต็มทีแล้ว!” ร่างบางแค่นเสียง “เหนื่อยกับการไล่ตามเจ้า เหนื่อยกับการไล่ตามเงาหลังของเจ้า เหนื่อยกับการต้องอยู่ภายใต้เงาของเจ้า เจ้าที่ไม่เคยหันกลับมามองข้าเลยสักครั้ง”
“?!”
“ถ้าเจ้าอยากรู้ความในใจข้ามากนัก ข้าจะบอกให้ก็ได้ ในความมืดมิด ข้าเห็นเพียงเจ้า ได้ยินเพียงคำโกหกแสนหวาน รู้สึกถึงความรักจอมปลอมที่พวกเจ้ามอบให้ อดีตหลอกลวงพวกนั้นเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก แล้วเจ้ายังหวังให้ข้าจดจำอีกหรือ? ยังต้องการให้ข้าเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
คนได้ฟังเม้มปากแน่น ใช้ดวงตาสีฟ้าเพ่งมองอีกฝ่ายอยู่นาน “โลกิ... ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะเชื่อ ว่าความรักที่ข้ามีให้เจ้าเป็นความจริง”
ร่างผอมยกริมฝีปากแค่นยิ้มอีกครั้ง “บัลลังก์แห่งแอสการ์ด เจ้ากล้ายกให้ข้าไหมล่ะ?”
“...................” คนตัวสูงกว่านิ่งอึ้งไปทันที ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะ “สุดท้ายที่เจ้ากล่าวก็เป็นเพียงแค่คำลวง”
“พอเถอะ!” ผู้เป็นพี่ชายกระชากเสียง ก่อนจะออกแรง ตรึงร่างผอมไว้กับเตียง “เจ้าร่ำร้องหาความจริงจากผู้อื่น แต่ความจริงของเจ้าเล่า? เจ้าปรารถนาเพียงบัลลังก์แห่งแอสการ์ดเท่านั้นหรือ?”
“ใช่!”
เสียงตอบรับดูดึงดันจนเหมือนเสแสร้ง ร่างสูงขบฟันพลางมุ่นคิ้ว ใช้ดวงตาสีฟ้าจับจ้องร่างที่ถูกตรึงไว้อีกครั้ง “ข้าใกล้หมดความอดทนกับเจ้าเต็มทีแล้วนะ”
ผู้เป็นน้องแค่นยิ้มที่มุมปาก “แล้วไง? จะฆ่าข้าหรือ? เอาเลยซี่ สำหรับเจ้า มันง่ายเสียยิ่งกว่าอะไรอยู่แล้ว ยังจะรีรออะไรอีก?”
ร่างสูงใหญ่กำหมัดแน่น ก่อนจะชกลงไปบนเตียงเต็มแรง “โลกิ หากก่อนหน้านี้ สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงแผ่นหลังของข้าล่ะก็.... วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็น สีหน้าข้าเวลาที่มองเจ้า”
ดวงตาสีมรกตเบิ่งโพล่ง จากนั้นก็หลุดเสียงร้องออกมา “ธอร์ เจ้าจะทำอะไร?!”
ร่างสูงใหญ่จัดการตรึงร่างผอมเอาไว้ด้วยแขนสองข้าง ก่อนจะแค่นเสียงตอบ “ดูไว้โลกิ นี่คือความจริงในใจข้า”
สิ้นเสียง ใบหน้าคมขยับลงฝังจูบรุนแรงบนซอกคอของอีกฝ่าย ร่างผอมดิ้นพล่าน “เจ้าบ้าไปแล้วหรือธอร์!”
ไม่มีเสียงตอบรับใด นอกจากกำลังแขนที่กดลงมาแรงขึ้น กระทั่งฟันที่ขบขยี้ลงมาบนผิว ร่างผอมสะท้านด้วยความเจ็บ “ธอร์!!”
แขนผอมบางถูกกระชากขึ้น ตรึงเอาไว้เหนือศีรษะ จากนั้นเสื้อผ้าที่เหลือก็ถูกฉีกกระชากออกโดยแรง ผู้ถูกกระทำดิ้นสุดกำลัง “หยุดนะ!”
เสียงร้องห้ามถูกตอบรับโดยการบุกรุกที่ก้าวร้าวมากกว่าเดิม แขนสองข้างถูกกดจนเจ็บ ขณะที่ร่างกายถูกขบขย้ำราวกับว่าอีกฝ่ายต้องการจะกัดกินเขาลงไปก็ปาน ร่างผอมบางดิ้นขลุกขลัก แต่ก็ไม่อาจต่อต้านการกระทำนั้นได้เลย
“อย่านะ!” ร่างผอมตะโกนสุดเสียง “อย่านะพี่!”
ร่างสูงใหญ่พลันชะงักกึก ผละริมฝีปากที่กำลังขบขย้ำผิวเนื้ออ่อนอย่างแรง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างผอมที่หอบหายใจด้วยความตื่นตระหนก
“พี่?... เจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่เจ้าอยู่หรือ?”
“............” อีกฝ่ายพยายามจะขยับตัวหนี แต่ก็ถูกตรึงไว้จนเกือบขยับไม่ได้ “ปล่อยข้านะธอร์”
“ไม่!” ร่างสูงใหญ่ตอบ “จนกว่าข้าจะได้รู้ความจริงในใจเจ้าทั้งหมด”
ดวงตาสีเขียวมรกตสั่นระริก “ปล่อยข้าเถอะ แล้วข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง”
“...................”
“ขอร้องล่ะพี่ข้า”
แขนแกร่งค่อยคลายออกช้าๆ โดยที่ดวงตาสีฟ้ายังคงจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ราวกับกลัวว่าพอปล่อยมือออกแล้ว ฝ่ายนั้นจะพลันหายไปในอากาศ
ริมฝีปากบางเม้มจนเกือบจะเป็นเส้นตรง ทันทีที่แขนสองข้างเป็นอิสระ ชายหนุ่มก็ใช้มันพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายราวกับงูร้ายทันที
“โล..!” คำเรียกครึ่งหลังถูกผนึกเอาไว้โดยริมฝีปากบางที่แนบสนิทเข้ามา ดวงตาสีฟ้าเบิ่งโพลง สองแขนขยับไปรัดตัวของอีกฝ่ายไว้ ปลายลิ้นน้อยๆ ขยับเข้ามา จุมพิตแนบสนิทและลึกล้ำขึ้นในทันที
“ความจริงในใจข้า...” ร่างผอมกระซิบเสียงแหบแห้ง ในจังหวะที่ริมฝีปากผละออกจากกัน ก่อนที่ผู้เป็นพี่ชายจะขยับเข้าผนึกมันไว้อีกครั้ง
“ข้าเกลียดเจ้าเหลือเกินธอร์” เสียงเดิมกระซิบแผ่ว ขณะที่สองร่างกอดรัดกันบนเตียงแคบ
“ตอนเป็นน้องชายเจ้า ข้าเฝ้ารอ เฝ้ารอกันหันมาของเจ้า เฝ้ารอสายตาที่เจ้าจะหันกลับมามองข้า ข้าเฝ้าไล่ตามแผ่นหลังของเจ้ามาเนิ่นนาน... แต่เจ้าไม่เคยหันกลับมาเลย...”
คำพูดถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายดูดกลืนไว้อีกครั้ง
“โปรดให้อภัยกับความโง่เขลาของข้า” ร่างสูงใหญ่กระซิบ “ข้าไม่เข้าใจว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อเจ้าอย่างไร ในฐานะของพี่ชาย ข้าไม่รู้ว่าควรจะมองเจ้าอย่างไรดี”
“เจ้าไม่เคยแยแสข้าเลยสักครั้ง” อีกฝ่ายตัดพ้อ ก่อนจะสูดหายใจลึก เมื่อปลายคางถูกขบขย้ำ
“ข้าน่ะหรือ ไม่เคยแยแสเจ้า? เจ้าผิดแล้วโลกิ ข้าสนใจเจ้ามากกว่าผู้ใด สนใจจนแม้แต่ตัวข้าเองยังรู้สึกหวั่น เกรงตัวข้าจะสนใจเจ้ามากเกินไป เกรงว่ามันจะเกินกว่าความเป็นพี่น้องกัน”
“ยังจะพูดจาหลอกลวงข้าอีกหรือ?” ร่างบางกล่าวกระซิบ พลางยกมือขึ้นผลักไสอีกฝ่ายออก แขนสองข้างจึงถูกรวบตรึงเอาไว้เหนือศีรษะอีกครั้ง
“ข้าหลอกลวงหรือไม่ ใจเจ้าในตอนนี้ย่อมรู้ดีเป็นที่สุด” ร่างสูงกล่าว พลางใช้มืออีกข้างไล้ผ่านซอกคอ ต่ำลงมาจนถึงแผ่นอกกว้าง
“ปรารถนาข้าบ้างไหม? ในโลกมืดมิดที่เจ้าร่วงหล่นลงไป เจ้าเคยนึกปรารถนาสัมผัสของข้าบ้างไหม?”
ร่างผอมบางสะท้านอีกครั้ง ยามถูกไล้ต่ำ แขนที่ถูกตรึงไว้ค่อยขยับลงมาจับใบหน้าของอีกฝ่ายไว้
“ในความมืดมิด ข้าปรารถนาเพียงสัมผัสของเจ้า ปรารถนาจะได้เห็นดวงตาสีฟ้าของเจ้า ปรารถนาที่จะให้เจ้าหันกลับมามองข้า”
สองมือที่ยื่นมาจับใบหน้าคม ถูกอีกฝ่ายใช้มือจับรวบไว้ ก่อนจะยกขึ้นจูบแผ่วเบา “เช่นนั้นเจ้าจงมองไว้เถิด นี่คือข้าที่หันมองเจ้า”
ดวงตาสีฟ้าช้อนขึ้นมอง ขณะที่ฝ่ายถูกมองแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “เจ้า....”
แขนสองข้างถูกตรึงไว้เหนือศีรษะอีกครั้ง ขณะที่อีกฝ่ายกระซิบเสียงแผ่ว “กลับมาอยู่เคียงข้างข้าเถิด โลกิ ข้าจะไม่เบนสายตาไปจากเจ้า ข้าจะไม่หันไปหาใครอีกแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบรับใด มีเพียงรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาความนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียว สองแขนแข็งแรงเลื่อนต่ำ โอบรัดร่างผอมบางเอาไว้แนบอก ขณะที่วงแขนของอีกฝ่ายขยับมาโอบรัดร่างสูงใหญ่เอาไว้
“โลกิ ใจข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้น...”
ดวงตาสีมรกตช้อนขึ้นมอง ก่อนจะแนบริมฝีปากเข้าประกบริมฝีปากนั้นไว้ ในเพลิงปรารถนาร้อนแรง สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา คือใบหน้าคมสัน และดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
ดวงตาที่สะท้อนเพียงเงาของเขาผู้เดียว
---------------------------------------------------
ธอร์....
ท่ามกลางเศษเสี้ยวความฝันในเงามืดไร้ก้นบึ้ง โลกิได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อนั้นซ้ำๆ อยู่ในห้วงความคิด
ธอร์.........
ในความมืดมิด แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาคือภาพของชายคนนั้น ชายที่เขาเฝ้าไล่ตามอยู่เสมอมา
ธอร์.....
สองแขนของชายหนุ่มอ้ากว้าง โอบกอดสิ่งที่เป็นดั่งความฝันอันไกลโพ้นเอาไว้แนบตัว
ข้าชังเจ้านัก... พี่ข้า
----------------------------------------------------
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงเรืองลอดผ่านช่องเล็กๆ ที่เจาะไว้ด้านบน สองร่างอิงแอบกันอยู่บนเตียงแคบ ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา
“โลกิ... เจ้าจะกลับมาอยู่ข้างข้ามั้ย?”
คนถูกถามไม่ตอบในทันที กลับยันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเบือนสายตามามองร่างที่นอนอยู่
“ข้าทำผิดมหันต์ เวลาไม่อาจหวนกลับ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”
ร่างสูงขยับลุกขึ้นตาม พลางยื่นแขนไปโอบอีกฝ่ายไว้ “แต่เจ้าสามารถชดใช้สิ่งที่ทำลงไปได้ กลับมาอยู่กับข้าเถอะนะโลกิ”
คนถูกกอดเบือนหน้ากลับมา แล้วระบายยิ้มที่ยากจะหยั่งถึงความรู้สึก “เจ้ามักมองไปข้างหน้าเสมอ ธอร์ หากข้าอยู่ข้างเจ้าแล้ว... เจ้าจะมองเห็นข้าได้อย่างไร”
“โลกิ”
เสื้อเกราะสีเขียวทองค่อยปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างผอมเอาไว้ ปลายนิ้วเย็บเฉียบยกขึ้นแตะใบหน้าของร่างที่โอบกอดเขาอยู่
“จงไล่ล่าข้าเถอะ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่ข้าจะแน่ใจว่าเจ้าจะไม่ละสายตาไปไหน”
“โลกิ!” ร่างสูงใหญ่โพล่ง เอื้อมมือคว้าคนในอ้อมกอดเอาไว้ แต่ทว่า ร่างตรงหน้ากลับค่อยสลายไปราวฝุ่นควัน
“ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องวิ่งไล่หลังข้าบ้างแล้วล่ะธอร์”
---------------------------------------------------
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น